เนื่องจากในช่วงนี้มี
ข้อสงสัยจำนวนมากทุกข้อล้วนโยงไปที่สภาพคล่องนี่เป็นเหตุผลของคำถามที่ว่าสภาพคล่องหายไปไหน
ในหลายประเทศเริ่มมีการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบรวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยที่เป็นเทรนขาลงของอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกเอาจริงๆเป็นระยะเวลานานแล้วไม่ใช่พึ่งมาลดหรืออัดฉีดเงินเข้าระบบ
ณ ตอนนี้แต่เนื่องด้วยระยะเวลานี้ปัญหาโควิด เป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก
ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและธุรกิจ ประชาชนจำนวนมาก
นั้นมีผลต่อสภาพคล่องในระบบตราสารทั่วโลก
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้สงสัยว่าสภาพคล่องในโลกรวมถึงไทยหายไปไหน เมื่อFED ลดดอกเบี้ยเหลือ 0% อัดฉีดงบประมาณลงในระบบ วงเงินกว่า 7
แสนล้านดอลลาร์ และจะอัดงบลงไปอีกในอนาคต ทำไมดอกเบี้ยเหลือ 0% ทำQE ทองถึงลงน้ำมันก็ลงดอลลาร์แข็ง dowjoneลง
ทำไมถึงเป็นแบบนี้หรืองบประมาณในการทำQE ไม่เพียงพออาจจะต้องเพิ่มเพดานหนี้มากกว่าปี2008
ขอแบ่งเป็น2ข้อหลักๆที่เห็นได้ชัด 1.เศรษฐกิจโลกเริ่มอ่อนแออยู่แล้วรวมถึงไทย
2.ปัญหาโควิด-19 แค่มาช่วยกระตุ้นให้อาการณ์อ่อนแอนี้แสดงออกอย่างชัดเจนรวมถึงเพิ่มอาการให้หนักกว่าเดิม
โดยข้อมูลจากECB เปิดเผยว่าการปิดประเทศจะส่งผลให้เศรษฐกิจหดตัว
5%
– ประธาน ECB คริสติน ลาการ์ด บอกว่า การปิดประเทศในยุโรปจะส่งผลให้เศรษฐกิจยุโรปหดตัวลง
5% บนสมมติฐาน 3 เดือน โดยในแต่ละเดือนจะทำให้เศรษฐกิจหดตัว 2.1% เริ่มดูข้อแรก
เศรษฐกิจโลกรวมถึงเศรษฐกิจไทยอ่อนแออยู่แล้วอย่างชัดเจนในปี2562
โลกเริ่มแสดงอาการตั้งแต่ตอนที่ไม่มีประเทศไหนที่มีอัตราการเติบโตทางGPD เหมือนแต่ก่อนในอดีตปัญหาจากสงครามการค้าปัญหาจาก brexit เป็นต้น แม้แต่ในไทยเองแแค่ปัญหาหนี้ครัวเรือนก็ทำให้การบริโภคลดลงอย่างมาก
ค่าเงินบาทที่แข็งทำการส่งออกมีปัญหา การท่องเที่ยวมีปัญหา 3
อย่างนี้ก็หนักหนาพอแล้ว
เรามาดูต่อว่าแล้วสภาพคล่องหายไปไหน(ในระบบการเงินโลกสภาพคล่องยังมีเต็ม)
บอกได้อย่างชัดเจนว่าปัญหาสภาพคล่อง ที่ชัดเจนสุดจะอยู่ในกลุ่มตราสารหนี้ (ถามว่าทำไมถึงต้องมีสภาพคล่อง
เช่นในธุรกิจ สมมุติธุรกิจมีหนี้แต่ถ้ามีสภาพคล่องก้ยังคงหมุนได้ เป็นต้น)
อย่างที่บอกสภาพคล่องเชื่อมโยงอยู่กับหลายอย่างในระบบเหมือนที่ตั้งคำถามไว้แต่ต้นเกี่ยวกับทองราคาหุ้น
bond yield ตราสารหนี้
น้ำมันและค่าเงินฉะนั้นขอรวบทุกอย่างไว้ทีเดียว
ลองมาดูกันว่ามันเกี่ยวข้องกันยังไง
-สภาพคล่องหายไปไหนเมื่อปัญหาcovid รุนแรง
คนในตลาดเกิดPanicคนจึงเลือกที่จะถือเงินสดไว้ในมือมากกว่า
-เมื่อการลงทุนในสินทรัพย์ทุกอย่างตกลงไม่มีอะไรที่ถือได้เลย
แล้วเงินหายไปไหน? ตอบได้เลยว่าเงินไปBond ในอเมริกา เพราะเมื่อ bond yield ติดลบหมายความว่ามีคนไปไล่ซื้อจนราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ(จะทำให้ผลตอบแทนลดลงในพันธบัตรรัฐบาล)
ส่วนทอง ทำไมถึงลด เพราะกองทุนหลายรายทำ Rebalancing เพื่อโยกเงินจากตลาดที่Panic อธิบายง่ายๆคือเมื่อ หุ้นขาดทุน
แต่ทองกำไรก็ขายทองมาโปะ เพื่อถัวเฉลี่ยพอตตนเองไม่ให้เกิดการขาดทุนเกินไป
-ทำไมตลาดถึงPanic ทั้งที่Fedลดดอกเบี้ยเหลือ 0-0.25% ทำQEมหาศาล
เครื่องมือนโยบายการเงินแทบหมด ทำให้นักลุงทุนมองว่าอาจเกิดเศรษฐกิจRecession และมีสิทธิ์ที่จะเกิดเงินฝืดตามมาเพราะคนไม่ใช้เงินและดำรงกระแสเงินสดไว้จนกว่าปัญหาCovid-19จะหายไป
ดูได้ที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของBOT รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับลดลง
นั่นหมายถึงเงินสดเป็นสิ่งมีค่าณ ตอนนี้
-QEของFED เข้าซื้อBondของเอกชน ปกติลดดอกเบี้ยหุ้นต้องขึ้นแต่ตลาดpanicตรงที่ลดที1%ทำให้เขามองแล้วว่าFEDดำเนินนโยบายการเงินหนักขนาดนี้จะเกิดอะไรขึ้นเพราะไม่มีใครรู้ข้อมูลเยอะเท่าFED ส่วนหนึ่งFEDพยายามพยุงธุรกิจเพราะกลัวธุรกิจจะล้มเหมือนLehman Brotherปี2008 หนี้ก้ต้องจ่ายขายของก็ไม่ได้ เดี่ยววันหลังมาเขียนต่อว่าโลกเราโตด้วยอะไร
-อีกหนึ่งข้อที่สำคัญไม่แพ้Covid คือระเบิดเวลาความกังวลเรื่องหนี้ของอเมริกาที่23ล้านล้านเหรียญ
หนี้ต่อGDPของอเมริกาคิดเป็น121.2%(ข้อมูลณวันที่ 14 กุมภาพันธ์)
สหรัฐเอมริกามีรายจ่ายมากกว่ารายได้นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล30ปี ต่ำลง ราคาขึ้นมาโดยตลอด(inverted yield curve)
-BOT อัดฉีดเงินในBond
รัฐ
เพื่อรักษาระบบตราสารหนี้ แล้วเงินไหลออกไปไหน? ไหลไปสหรัฐ
เงินดอลล่าไหลกลับสหรัฐ ถามว่าทำไม? ตอบง่ายๆธุรกิจหรือนักลงทุนกู้เงินเป็นดอลล่าแล้วจ่ายคืนเป็นอะไรละ
ยิ่งเกิดCovid
สภาพคล่องขาด
ยิ่งหนักถึงขั้นล้มละลายได้เลย
เช่นธุรกิจสายการบินเรียกได้ว่าทั่วโลกไม่ใช่แต่สหรัฐ เมื่อไม่กี่วันก่อน US.Airlines ยังเรียกร้องให้รัฐเข้ามาsubsidyอยู่เลย โดยสำนักข่าวREUTERS จากกรุงวอชิงตันในสหรัฐอเมริกา
รายงานว่าสายการบินยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาได้ขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลมากกว่า 5
หมื่นล้านดอลล่าสหรัฐ
เนื่องจากทำเนียบขาวกำลังเร่งร่างแผนช่วยเหลือทางการเงินโดยเร่งด่วน
สาเหตุมาจากปัญหาโควิด-19 จึงทำให้นักท่องเที่ยวหรือแม้กระทั่งการเดินทางผ่านทางสายการบินลดลงอย่างมากและกินระยะเวลานานราว1เดือนมาแล้ว (อีกอย่างเมื่อ โลกเราอัดฉีดเงินมานาน ดอกเบี้ยก้ต่ำ ทำไมไม่มีเงินเฟ้อ? นั่นหมายความว่าเงินอาจจะไม่ได้ไปอยู่ในระบบเศรษฐกิจจริงๆอาจหมุนอยู่นBondของรัฐที่อยู่ในตราสารการเงิน
*เป็นที่น่าสังเกตุเศรษฐกิจไม่ดีขึ้นทั้งที่มีการอัดฉีดไปมาก)
-ส่วนBondในประเทศใหญ่ของโลกหนักกว่าสหรัฐหรือไทยอีก
ไทยกับสหรัฐแค่ผลตอบแทนต่ำแต่ยุโรป ญี่ปุ่นที่ดำเนินนโยบายการเงินแบบติดลบ
ยกตัวอย่างเช่น เยอรมัน ฝรั่งเศส ถ้าเราให้เขากู้ซื้อBond เราจะขาดทุนทันทีเงินต้นหาย นี่ละที่เรียกว่าพันธบัตรติดลบ ญี่ปุ่นนี่เริ่มหนัก การเติบโดเศรษฐกิจต่ำ
หนี้สาธารณะสูง อัดฉีดเงินจำนวนมากมาก
เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อมาเลี้ยงดูคนวัยเกษียณเราก็รู้ดีว่าถ้าภาษีเพิ่มเศรษฐกิจก็เติบโตได้ยาก
-เกิดpanic sellingในทุกasset dowjone,setของไทย ติดCircuit Breaker
กันเป็นว่าเล่น
-ปกติคนส่วนใหญ่หรือนักลงทุนทั่วไปมองทองเป็นsafe haven หรือสินทรัพย์ปลอดภัย แต่พอเกิดวิกฤต
ทุกคนกลับมองว่า กระแสเงินสดในมือนั้นสำคัญกว่า เนื่องจากcovid-19 เพราะจากการประเมินหลายๆสำนักว่าcovidจะเกิดปัญหาในระยะยาวคือแก้ไวรัสตัวนี้ไม่ได้
หรือแม้แต่นักลงทุนที่ขาดทุนจากหุ้นก็ต้องขายทองเพื่อมาพยุงพอตตัวเอง
โดยเฉพาะไทยที่ พยากรGDPติดลบแล้วในหลายสำนักเช่นกัน
ทั่วโลกก็ไม่รอด อเมริกา เจอโรม พาเวล
ก็บอกว่าเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้มีสิทจะเห็นติดลบ
อีกอย่างการปิดหลายสิ่งในไทย คนตกงานก็เริ่มมีแล้ว
เงินก็เริ่มหมดทองก็ถูกขายเป็นธรรมดา
-เศรษฐกิจไทยหลังวิกฤตการระบาดของcovid ก็ยังแย่อยู่อาจฟื้นตัวเพียงเล็กน้อย
แต่เศรษฐกิจเตรียมrecession ถามว่าทำไม? ไวรัสไม่ได้ทำให้โครงสร้างพื้นฐานใดๆเสียหาย จึงไม่เกิดการกระตุ้นของภาครัฐสร้างงานในส่วนนี้
ยิ่งคนมีหนี้สินมาก และเงินออมน้อย โครงสร้างประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น
- **ถ้ากองทุนLTF RMF ล้มแล้วใครจะจ่ายเงินหลังเกษียณ แม้โควิดหยุดลง โรงงานกลับมาผลิตจริง
แต่คนก็จะซื้อบริโภคเพิ่มขึ้นแค่แปปเดียวกราฟก้จะหัวลงต่อ
-ต่างชาติขายหุ้นไทยหลายปีแล้ว
เงินที่อยู่ในหุ้นส่วนใหญ่ก็เป็นของประชาชนที่อยู่ในหุ้นทั้งกองทุนทั้งสอง LTF RMF ที่บอกไปแล้ว เงินเก็บของประชาชนปกติ+ยามเกษียณ
แน่นอนนักลงทุนจะหยุดซื้อ ทั้ง2กองทุน เพิ่มขึ้นแต่ก็ยังไม่ได้ขาย ทั้งนี้การที่มีแต่offer สองกองทุนแต่ไม่มีbid ที่ได้บอกไปทำให้เงินเก็บความมั่งคั่งของประชาชนลดลง
นี่คือเหตุผลสำคัญที่ธปท.ต้องอุ้มตลาดตราสารหนี้
-แนวคิดของธปท.ที่อัดฉีดผ่านแบงค์ให้แบงค์ไปอุ้มกองทุนแทน
ถามว่าทำไมต้องอุ้มถ้ากองทุนพวกนี้ถ้ากองทุนล้มธนาคารก็จะตามไปแม้นมีการกันสำรองสูงมากก้ตาม
คนก้ตกงาน หนี้ก้สูง เรียบร้อยเลยทีนี้
ช่วยรายใหญ่รายย่อยจ่ายหนี้ได้ ธนาคารก็ไม่ล้ม
-ตราสารหนี้นั้นมี bid offerเหมือนหุ้น แต่พอสภาพคล่องหายมีแต่ฝั่งoffer ไม่มีbidนั่นทำให้มูลค่าตราสารหนี้ลดลงทันที
ธปท.จึงเข้าซื้อbondเพื่อพยุงราคา
โดยเสนอ3มาตรการ1.ให้ธนาคารพาณิชย์เข้าซื้อ
หน่วยกองทุนรวมในตราสารหนี้ได้ทันทีและ
ธนาคารพาณิชสามารถนำมาเป็นหลักประกันเพื่อขอกู้จากธปท. 2.ตั้งกองทุนเสริมสภาพคล่อง 3.แบงชาติจะเข้าเสริมสภาพคล่องในตลาดเงินโดยเฉพาะตราสารหนี้ของรัฐ
ทั้งหมดด้วยงบกว่า1ล้านล้านบาท
-ของไทยปล่อยให้ธนาคารพาณิชย์เข้าซื้อกองทุนตราสารหนี้(ของFEDซื้อได้โดยตรงเอง)
-ฝากให้คิด บาทอ่อนมันดีแต่ถ้าเกิดการเทขายBondรัฐ แล้วยิ่งธปท.ลดดอกเบี้ยเพราะหุ้นตก บาทยิ่งอ่อนไปอีก
ถ้าลดดอกเบี้ยเงินหนีไม่เกิดการลงทุน ยิ่งตัดขาดดุลทุกปีแล้วเราจะขายBondยังไง ถ้าขึ้นก็แรงซื้อบอนเข้ามา แต่จะมีผลกระทบไปอีก2 อย่าง 1.เสดกิจ 2.หุ้น สิ่งนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก มี2ทางคือ1.ขาดทุน
ก็โดนด่า 2.เท่าทุน ก้เฉยๆ
-เหมือนในปี2008 ที่ Lehman Brotherล้ม
การอัดฉีดเงินหรือลดดอกเบี้ยของFEDเป็นการพยุงทั้งระบบรวบถึงธุรกิจยักษ์ที่มีสิทธิ์ล้ม
การล้มยิ่งในกลุ่มธนาคารขืนปล่อยล้มไปง่ายๆมันจะเป็นโดมิโน่วเสียหายไปทั้งระบบยิ่งธนาคารใหญ่ระดับโลกที่ผูกเงินหลายธนาคาร
เช่น JPMorgan, Bank of America, Barclays เป็นต้น
-FED บอกในแถลงการณ์ว่าให้แบงปล่อยกู้ได้เลยไม่ต้องกันสำรอง**ยิ่งอันตรายFEDเห็นแบบนี้เลยเปิดโอกาสให้ทุกแบงค์มากู้FEDเองได้ด้วยดอกเบี้ยราคาถูกในระยะ90วัน
นั่นหมายความว่าความเสี่ยงที่แบงค์จะล้มหรือเกิดการขัดสภาพคล่องก็จะไม่มี(เกิดคนมาถอนเงินพร้อมกันพอดี)เพราะสามารถยืมFEDได้
-ในปี2008 สภาพคล่องขาดฉับพัน เงินเฟ้อต่ำทำให้เสดกิจแย่ระยะยาว
***ฝากไว้ให้คิด การสร้างหนี้ของFEDสามารถขยายเพดานได้ต่อไปเรื่อยๆ แต่ปัญหาอยู่ที่จะเก็บภาษีมาจ่ายหนี้
จ่ายดอกเบี้ยยังไงให้ไหว
-การลดดอกเบี้ยฉุกเฉินของFEDมองเห็นว่าบริษัทยักษ์ใหญ่อาจล้ม ไม่ว่าจะEU ที่ทำqe
-แต่ก่อนในปี2008 ยักใหญ่ล้มทั้งอเมริกา
ยุโรป แต่ตอนนั้นปั้มQEเข้าพยุงหุ้นและทรัพย์สินในขณะนั้นมีราคาน้อย กลับกันในปัจจุบันทรัพย์สินหุ้นมีราคามาก
ต้องพิมQEออกมามากเท่าไหร่ถึงจะพยุงอยู่
-อีกหนึ่งทฤษฎีที่น่าสนใจ นายทุนต้องการแจกเงินเจ้ามือ นายทุนมีอยู่2จ้าวใหญ่ๆ1.อเมริกา 2.ยุโรป (ยุโรปใหญ่กว่า) ดอลล่ากับยูโรแข็ง
น่าสนใจตรงนี้ปกติแปลผกผันทั้ง2ตัวทำไมทีนี้แปลผันตรง
ราว14มีนา ค่าเงินยูโรกับดอลล่าแข็งแต่ตลาดหุ้นลงแรงทั้งสอง อเมริกา และยุโรป
นายทุน10%คุมเงิน80% รายย่อย90% คุมเงิน20 % Hedge Fundพวกนี้
ทั้งยูโรและที่อื่นขายเพื่อไปอุ้มดาวโจน
มันต้องเกิดจากคนไม่กี่คนตัดสินใจพร้อมกันในปริมาณเงินที่มาก
พอคนไม่กี่คนนำเงินดอลกลับเข้าดาวโจนส์ด้วยจำนวนเงินที่มาก ก็ทำให้ดอลล่าแข็ง
แล้วถามว่าอุ้มดาวโจนทำไม เมื่อนักลงทุนรายย่อยเทขายดาวโจน จนติดcircuit Breakerหลายครั้ง คนShort
Selling futureจนหมด นายทุน Long future แล้วดึงหุ้นขึ้นเยอะมากจนวันศุกดึงจนติดcircuit Breaker รายย่อยที่shortโดนหมด
ปกติลงติด circuit Breaker นี่long จนติด circuit Breaker แล้วใครได้กำไรก็นายทุนกลุ่มนี้
-ต่อจากนี้เริ่มไม่เกี่ยวกับหัวข้อสภาพคล่องแล้ว
ไว้เป็นความรู้ทั่วไปของนักลงทุน
-มองกลับมาที่ไทย ต่างชาติขายหุ้นไทยทิ้งแล้วนำเงินนั้นไป
long ฟิวเจอร์ คือต่างชาติเขาไม่สนใจหุ้นขึ้นลงแล้ว แต่สิ่งที่เขารู้ดีว่าเงินบาทจะอ่อนแน่ๆ
ฉะนั้นเขานำเงินไปเกร็งกำไรค่าเงินบาท
เพราะนายทุนที่มีเงินดอลล่าเขารู้ว่าเงินดอลต้องแข็งเพราะดึงเงินกลับมหาศาล เมื่อไหร่ที่หุ้นขึ้นทองจะขึ้นพร้อมกัน
เพราะเงินไหลออกจากดอลล่า ตอนนี้ดอลแข็ง เพราะเขาได้กำไรจากเงินบาทพอสมควร
การกลับมาในตลาดหุ้นไทย นายทุนจะกลับมาในหุ้นน้ำมัน
เพราะถ้าอเมริกาออกข่าวจับมือกับซาอุน้ำมันจะขึ้นทันที เขาได้กำไรจากค่าเงิน+หุ้นน้ำมัน ดอลล่าจะอ่อนอีกครั้ง และทองจะขึ้น ตามMEGA เทรน
-การมองทองในช่วงนี้
ทองคำขาใหญ่เป็นขาขึ้นโดยในช่วงนี้ทองมันจะลง ลงจนกว่าดาวโจนจะหยุดแกว่งแรง
คือรอมันside way นายทุนขายทองแล้วซื้อดาวโจนส์
จนหลายคนที่ซื้อดาวโจนส์คิดว่าจะขึ้น หลังจากนั้นนายทุนเทขาย ทุบดาวโจน ทองคำลงระยะสั้น
ทองจะลงจนกว่าดาวโจนside way เทคนิคง่ายๆซื้อถูกขายแพง
ซื้อดาวโจนส์ถูก ขายแพง ขายทองแพงค่อยซื้อถูก
0 ความคิดเห็น